ชวนอ่าน ‘ปาฏิหาริย์ร้านชำของคุณนามิยะ’

เมื่อหนุ่มหัวขโมยสามคน มีความผิดพลาดทางเทคนิคเล็กน้อย ทำให้ต้องเข้ามาหาที่หลบภัยภายในบ้านร้างหลังหนึ่ง ดูภายนอกก็พอรู้ได้ว่าเป็นร้านชำ(ที่ทำเลไม่ดีเอาซะเลย) ในระหว่างนั้นเอง ก็ได้มีจดหมายปริศนาสอดเข้ามาทางตู้รับจดหมาย เมื่อความจุ้นจานไม่เข้าเรื่องอ่านจดหมายนั่น ทำให้รู้ว่าที่ที่พวกเค้ากบดานคือ ร้านชำของคุณนามิยะ ซึ่งรับปรึกษาปัญหากลุ้มใจนั่นเอง และที่พีคคือจดหมายดังกล่าว เป็นจดหมายจากเมื่อ 40 ปีที่แล้ว หนำซ้ำคุณนามิยะก็จากโลกนี้ไปเป็นสิบปีแล้วด้วยสิ!!!


เรื่องย่อเบาๆ
          ถ้าอยากสอบได้คะแนนเต็มร้อยโดยที่ไม่ต้องเรียนหนังสือ ผมต้องทำยังไง’ เด็กน้อยคนหนึ่งถาม
          หนูลองไปขอร้องให้คุณครูของหนูออกข้อสอบเกี่ยวกับตัวหนูเองสิ รับรองว่าได้เต็มแน่นอน’ เจ้าของร้านชำนามิยะตอบ
          เป็นเหมือนคำถามกวนตีนที่มาจากพวกเด็กเกเรแถวบ้าน แต่คุณนามิยะก็ยังสนุกและคิดคำตอบนั้นอย่างสุดความสามารถเสมอ
          แล้วลุงนามิยะเป็นใคร อาจจะยังเป็นปริศนาให้คุณได้มาค้นหาคำตอบ นอกจากนี้ใครจะไปรู้ละว่า การให้คำตอบสำหรับคำถามเล่นๆ แบบนั้น ถึงขั้นเปลี่ยนแปลงชีวิตคนคนหนึ่งได้เลย
          และเรื่องราวทั้งหมดดำเนินต่อไปในหนังสือเรื่อง “ปาฏิหาริย์ร้านชำของคุณนามิยะ” (The Miracle Of Namiya General Store) เมื่อหนุ่มหัวขโมยสามคน มีความผิดพลาดทางเทคนิคเล็กน้อย ทำให้ต้องเข้ามาหาที่หลบภัยภายในบ้านร้างหลังหนึ่ง ดูภายนอกก็พอรู้ได้ว่าเป็นร้านชำ(ที่ทำเลไม่ดีเอาซะเลย) แถมของภายในก็ไม่ได้มีสิ่งมีค่าอะไรเลยซะด้วย ในระหว่างนั้นเอง ก็ได้มีจดหมายปริศนา สอดเข้ามาทางตู้รับจดหมาย
          ตำรวจรึเปล่านะ?
          ตำรวจไม่ทำน่าทำวิธีที่อ้อมค้อมขนาดนี้!!!
          เอาจริงๆ คือ ฉันไม่เห็นคนมาส่ง!
          เมื่อความจุ้นจานไม่เข้าเรื่องอ่านจดหมายนั่น ทำให้รู้ว่าที่ที่พวกเค้ากบดาน คือ ร้านชำของคุณนามิยะ ซึ่งรับปรึกษาปัญหากลุ้มใจนั่นเอง และที่พีคกว่านั้น จดหมายดังกล่าว เป็นจดหมายจากเมื่อ 40 ปีที่แล้ว และด้วยความจุ้นไม่เข้าเรื่องด้วยเหมือนเดิมคือการเขียนให้คำปรึกษาตอบกลับไป จึงทำให้เกิดการสนทนาติดต่อกันระหว่างอดีตและปัจจุบันเกิดขึ้น นอกจากนี้ ร้านชำแห่งนี้ ยังมีความพิศวงบางอย่างที่เมื่อสุดท้ายหากพวกเค้าได้รู้ จะต้องร้องไม่ออกแน่ ๆ หรือบางทีพวกเค้าอาจจะไม่มีวันรู้ก็ได้ แต่คนที่จะรู้คำตอบทั้งหมดแน่ ๆ นั่นก็คือ คุณผู้อ่านนั่นเอง!!!

โดนตกมาได้อย่างไร
          เราชอบหนังสือเล่มนี้นะ หน้าปกน่าดึงดูด(เงินในกระเป๋าอย่างยิ่ง)สวยงามตามท้องเรื่อง ถึงขั้นว่า สื่อหลายสำนักยกย่องให้ปกฉบับภาษาไทยเป็นปกที่ "สวยที่สุด" ในงานสัปดาห์หนังสือครั้งที่ผ่านมา
          เหมือนจะเห็นครั้งแรกใน facebook ซึ่งตอนนั้นอ่านเนื้อเรื่องย่อ ก็รู้สึกว่า ชั้นต้องซื้อ! แต่ท้ายสุดก็ไม่ได้ซื้อสักที อาจจะด้วยความแบนของกระเป๋าเงิน รวมทั้งจริง ๆ แอบคิดว่ามันจะน่าเบื่อรึเปล่านะ ยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับจดหมาย เกี่ยวกับปัญหากลุ้มใจไปอีก แต่สุดท้ายก็นั่นแหละ เราอ่านมันรวดเดียวแทบจะภายในคืนเดียว พร้อมกับผ้าห่มที่มีหยดน้ำตาเปาะแปะ


 
ความพิเศษของหนังสือเล่มนี้
          อย่างแรกเลย หนังสือเล่มนี้ แทบจะไม่มีโมเมนต์หวานกุ๊กกิ๊กน้ำตาลขึ้นใดๆ แต่เราก็รู้สึกสนุกได้อย่างไม่น่าเชื่อ ความสัมพันธ์ของเหล่าตัวละครผ่านร้านชำของคุณนามิยะทำให้เนื้อเรื่องสนุกเข้มข้นโดยที่ไม่ต้องพึ่งฉากความรักใดๆ และด้วยความที่ตัวละครแรกเริ่มก็มาจากพื้นเพสามัญเป็นคนธรรมดาๆ คนหนึ่งที่มีวิธีคิด  ความรู้สึก และสายใยซึ่งกันและกันจนทำให้เกิดปาฏิหาริย์ดังกล่าวขึ้น (รวมทั้งเจ้าหัวขโมย สามคนนั้นด้วย) สายใยที่โยงกันเป็นด้ายแดงอันยุ่งเหยิง ก่อนจะคลายปมออกในตอนสุดท้ายนี่เองที่ทำให้พล็อตเรื่องนวนิยายเล่มนี้ดึงดูดเราตั้งแต่ต้นเรื่องถึงท้ายเรื่อง
           ไม่ต้องห่วงว่าเรื่องเปิดมาเป็นจดหมายแล้วจะน่าเบื่อ อ่านจบคุณแทบจะอยากเขียนจดหมายใส่กระดาษมากกว่าหน้าคอมพิวเตอร์ พร้อมกับเดินตามหาร้านชำเก่าๆ สักร้าน 
          อย่างต่อมา คือ หนังสือเป็นแนวลึกลับ (Mystery) ซึ่งเหมาะมากสำหรับคนที่ชอบอ่านแนวนี้ คอยให้เราขบคิดเรื่อยๆ ว่าทำไมเป็นแบบนี้ แล้วหากมีทางเลือกมากมายขนาดนั้น สุดท้ายตัวละครจะเลือกอะไร จะแก้ปัญหากลุ้มใจนั้นอย่างไร เค้าจะเชื่อคำแนะนำของคุณลุงนามิยะ หรือหัวขโมยสามคนนั้นมั้ย เอาเป็นว่า มันทำให้เราวางหนังสือไม่ลง เพราะคำถามความสงสัยมันจะเกิดขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่คุณพลิกหน้ากระดาษ
          และสุดท้าย...ไม่รู้จะอวยอะไรอีกดี ฮ่า!!! ก็ลองเปิดใจหาอ่านกันนะคะ    
-------------------------------------------------
P.S. ต่อไปมีการสปอยนะคะ

การรีวิวที่(มีใส่การสปอยลงไปเรียกน้ำย่อยนะคะ!!!!)

          ....เมื่อคุณกำลังอ่านช่วงแรก

          นี่พวกนายเขียนให้คำปรึกษาอะไรเนี่ย!! เป็นประโยคที่อยากด่าให้กับไอ้หัวขโมยทั้งสามคน
          หลังจากค้นพบความพิศวงของร้านชำที่สามารถติดต่อกับคนในอดีตได้ผ่านจดหมายปรึกษาปัญหากลุ้มใจแล้ว เจ้าหัวขโมยทั้งสามก็จัดหนักจัดเต็มเลย เป็นการให้คำปรึกษาประสาชายหนุ่มห้าวผสมปนเปกับชายหนุ่มจิตใจดี จนบางครั้งแอบนึกว่าคนที่เขียนมาปรึกษาเค้าจะเข้าใจผิดเรื่องคุณตานามิยะบ้างมั้ยนะ แต่สุดท้ายแล้วมันก็สอนให้เรารู้นะว่า สำหรับการให้คำปรึกษาใครสักคน การบอกเค้าไปตรงๆ อาจจะเป็นทางที่ดีกว่าการบอกแบบอ้อมภูเขา

          ...เมื่อคุณอ่านไปกลางๆ เรื่อง

          บอกเลยว่าจู่ๆ น้ำตาก็มาเอง เราแอบลุ้นตัวละครหนึ่งมาก ด้วยความรู้สึกว่า เค้าคนนั้นแอบเหมือนเรานิดๆ (คนอิน2020) หรือจริงๆ เค้าอาจจะเหมือนใครอีกหลายคนเลย ถ้าจะให้คุณเลือกทำตามความฝันทั้งๆ ที่จริงคุณไม่ได้มีพรสวรรค์เลย กับทำตามสิ่งที่คุณก็ทำได้ดีอยู่แล้ว คุณคิดว่าไอ้หัวขโมยสามคนนี้มันจะแนะนำอะไร แล้วถ้าเป็นตัวคุณเองหล่ะ คุณจะเลือกอะไร

          ....เมื่อคุณอ่านจบและปิดหนังสือ

          ‘ฮื้อออ อัตสึยะ’ เป็นประโยคที่จู่ๆ ตัวชั้นก็เริ่มเอ็นดู คนที่เคยเกลียดที่สุดในบรรดาหัวขโมยทั้งสามขึ้นมาซะอย่างงั้น เรื่องราวทั้งหมดมันมาบรรจบกันอยางพอดิบพอดี จนคนอ่านเองอย่างเราอยากจะเล่าให้ใครสักคนฟังเพื่อเป็นการเรียบเรียงข้อมูลทั้งหมด มันทำให้เรารู้ว่าการที่คนๆ หนึ่งเค้าเป็นแบบนี้ เพราะมันมีเหตุผลเสมอ การที่คนหนึ่งๆ จะกระทำการบางอย่าง เค้ามีเหตุผลและความคิดของการกระทำนั้นๆ เสมอ ถึงแม้บางครั้งมันอาจจะเป็นการกระทำที่ดูไร้ความคิดก็ตาม การที่เรารีบตัดสินใจโดยที่ไม่ได้ถามตัวเค้าเลย อาจจะทำให้เรามองเค้าเป็นอย่างอื่นไปตลอดกาลก็ได้นะ

-------------------------------------------------
'หลังอ่านแล้วมาคุยกัน'
-------------------------------------------------

...ตอนที่คุณชอบมากที่สุด
          ‘หลังจากใช้แส้เฆี่ยนสมองที่เริ่มฝ่อด้วยความชราภาพให้ทำงาน ผมขอตีความว่าการที่คุณส่งกระดาษเปล่ามาก็แปลว่าคุณยังไม่มีแผนที่ชีวิตนั่นเอง....P.506
          แทบจะเรียกได้ว่าเป็นตอนใกล้จบของหนังสือ เมื่อจู่ๆ มีกระดาษเปล่าลอดผ่านช่องจดหมายส่งมาถึงคุณนามิยะตัวจริงๆ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นจดหมายฉบับสุดท้ายแล้วที่คุณนามิยะจะได้ตอบกลับ ตอนแรกเราแอบคิดว่า ใครกันมันเล่นพิเรนทร์ส่งกระดาษเปล่าวะ แล้วคุณลุงนามิยะ ยังพยายามคิดและเขียนให้คำปรึกษาอย่างสุดความสามารถจนคนอ่านยังเครียดแทน แต่เมื่อเฉลยในตอนสุดท้าย ว่าแท้จริงแล้วกระดาษใบนั้นมาจากหนึ่งในขโมยที่มีนิสัยหัวร้อนกว่าเพื่อน แค่เค้าอยากทดลองเป็นครั้งสุดท้ายกับความพิศวงของบ้านหลังนี้ โดยลองหย่อนกระดาษเปล่าที่ตู้รับจดหมายไปหนึ่งแผ่น ซึ่งผลลัพธ์คือ มันหายไปแทนที่จะตกกลับลงมาที่ประตูบ้าน และตอนสุดท้ายก่อนที่ทั้งสามจะจากบ้านนี้ไป จดหมายตอบกลับฉบับสุดท้ายก็โผล่มา และเนื้อความก็เป็นดังที่กล่าวไปข้างต้นพร้อมกับคำแนะนำสุดท้ายที่จะต้องสะกิดคนอ่านอีกหลายคนแน่นอน สำหรับโจรทั้งสามคนที่ถึงแม้พวกเค้าจะปฏิญาณตนเลิกขโมยของแล้ว แต่ก็ยังคงไม่มีแผนชีวิตใดๆ นั้นคือเรื่องจริง หวังว่าการให้คำปรึกษาครั้งสุดท้ายของคุณนามิยะ จะช่วยพวกเค้าได้นะ....
-------------------------------------------------

ถามเพื่อนนักอ่านทุกคน...คุณชอบตอนไหนของหนังสือมากที่สุด


Share:

0 comments